ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ณัฐติกา อัศวพรหมกิจ
วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
สื่อการสอน
สร้างสื่อการสอน
ลักษณะการพูดที่ดีมักประกอบด้วย
๑ มีความมุ่งหมายดี ทั้งความมุ่งหมายทั่วไปและความมุ่งหมายเฉพาะ
๒. มีความเหมาะสม กับกาลสมัย เวลาที่กำหนดให้ สถานที่ โอกาส และบุคคล
๓. ใช้ถ้อยคำดี คือ พูดด้วยถ้อยคำที่เป็นจริง มีประโยชน์ และเป็นที่พอใจแก่ผู้ฟัง
๔. มีบุคลิกลักษณะดี คือต้องใช้น้ำเสียง ภาษา สายตา ท่าทาง และกิริยาอาการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามธรรมชาติ สอดคล้องกับเนื้อหาของเรื่องที่พูด
สาระหรือเนื้อเรื่องที่จะพูด
การเตรียมเนื้อหาจะต้องมีโครงเรื่อง ได้แก่ คำนำ เนื้อเรื่อง และสรุปจบ เพื่อให้การพูดดำเนินไปโดยสม่ำเสมอตลอดเรื่อง
คำนำ เป็นตอนสำคัญที่จะเรียกร้องให้ผู้ฟังสนใจและตั้งใจฟัง คำนำจึงต้องใช้ภาษาและสำนวนที่กระทัดรัดได้ใจความดี โดยอาจขึ้นต้นได้หลายแบบ ได้แก่
๑.กล่าวถึงความสำคัญของเรื่อง
๒นำด้วยตัวอย่างหรือนิทาน
๓.นำด้วยข้อความที่เร้าใจ
๔.นำด้วยคำถามที่เร้าใจ
๕.นำด้วยการยกย่องผู้ฟัง
๖. นำด้วยคำพังเพย สุภาษิต คำขวัญ คำประพันธ์ หรือคำคม
เนื้อเรื่อง จะต้องเตรียมให้
๑. สอดคล้องกับคำนำ
๒. เป็นไปตามลำดับขั้นตอนตามโครงเรื่อง
๓. เวลาพูดต้องแสดงสีหน้า ท่าทางให้เหมาะสมสอดคล้องกับเรื่อง เพื่อให้เกิดความสนใจ แต่ไม่มากจนกลายเป็นเล่นละคร
สรุปจบ อาจทำได้หลายวิธี คือ
๑.ย้ำจุดสำคัญ
๒.จำแนกหัวข้อสำคัญ
๓.ทบทวนความรู้ทั่วไป
๔.สรุปด้วยการสรรเสริญสดุดี
หลักทั่วไปในการพูด
๑.เตรียมตัวให้พร้อม
๒.ซักซ้อมให้ดี
๓.ท่าทีให้สง่า
๔.วาจาสุขุม
๕.ทักที่ประชุมให้โน้มน้าว
๖ เรื่องราวให้กระชับ
๗.ตาจ้องจับผู้ฟัง
๘.เสียงดังแต่พอดี
๙.อย่าให้มีเอ้ออ้า
๑๐.ดูเวลาให้พอครบ
๑๑.สรุปจบให้จับใจ
๑๒.ยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่ออำลา
-
https://jennykr.wordpress.com/2009/11/24/ลักษณะการพูดที่ดีสาระเ/
https://jennykr.wordpress.com/2009/11/24/ลักษณะการพูดที่ดีสาระเ/
วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558
ขั้นตอนการออกกำลังกาย
ขั้นตอนการออกกำลังกาย
- การอบอุ่นร่างกายหรือการอุ่นเครื่อง (warm up)เป็นการเตรียมร่างกายโดยเฉพาะปอดและหัวใจให้พร้อมที่จะรับการออกกำลังกาย การอบอุ่นร่างกายที่ดีก็คือกิจกรรมที่สามารถทำให้อุณหภูมิร่างกาย อุณหภูมิกล้ามเนื้อและปริมาณเลือดที่ไหลเวียนสู่กล้ามเนื้อที่จะใช้งานเพิ่มสูงขึ้นจากสภาวะพัก อาจเริ่มด้วยการเดินช้าๆ แล้วค่อยๆเดินเร็วขึ้นจนชีพจรของเราเริ่มเต้นเร็วขึ้น จาก 70 ครั้งต่อนาทีมาเป็น 100 หรือ 110 ครั้งต่อนาที ช่วงนี้ร่างกายของเราจะค่อยๆปรับตัว ทำให้ไม่เกิดอันตรายในการออกกำลังกาย การอบอุ่นร่างกายควรใช้เวลาอย่างน้อย 5-10 นาที
- การยืดกล้ามเนื้อ (stretching)เป็นการเตรียมกล้ามเนื้อ เอ็น และเอ็นข้อต่อของร่างกายให้เตรียมพร้อมที่จะรับการออกกำลังกาย ทำให้ไม่เกิดการบาดเจ็บขึ้นเมื่อเราเริ่มออกกำลังกาย ช่วงนี้ก็ใช้เวลา 5-10 นาที
- ช่วงของการออกกำลังกาย (training zone exercise)ช่วงนี้ก็คือช่วงของการออกกำลังกายแบบแอโรบิค (aerobic exercise) เช่นถ้าวิ่ง ก็จะวิ่งให้มีความหนักเพียงพอ คือให้หัวใจเต้นประมาณ 60-80 % ของชีพจรสูงสุด ซึ่งจะเป็นช่วงที่มีผลต่อการฝึกปอดและหัวใจโดยที่ไม่มีอันตรายต่อร่างกาย
- การผ่อนกาย (cool down)หลังการออกกำลังกายเป็นการปรับสภาพร่างกายจากการออกกำลังกายมาเป็นสภาพปกติ ถ้าเราหยุดทันที หัวใจที่เคยเต้น 130 ? 140 ครั้งต่อนาที จะกลับมาสู่สภาพปกติ คือเต้น 70 ครั้งต่อนาทีในเวลาสั้น ๆ ก็อาจเกิดอันตรายได้ เพราะปอดและหัวใจปรับตัวไม่ทัน เนื่องจากปริมาณเลือดของร่างกายส่วนใหญ่จะไหลเวียนไปยังกล้ามเนื้อขณะออกกำลังกาย หากหยุดออกกำลังกายทันทีทันใดจะทำให้เลือดที่ไหลเวียนกลับสู่หัวใจน้อยลงโดยเลือดจะคั่งค้างอยู่ที่หลอดเลือดภายในกล้ามเนื้อโดยเฉพาะกล้ามเนื้อของขา (pooling effect) ส่งผลให้ปริมาณเลือดที่บีบออกจากหัวใจเพื่อส่งไปอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายลดลงโดยเฉพาะสมองจึงทำให้เกิดอาการหน้ามืดเป็นลมได้ เราจึงต้องใช้เวลา 5-10 นาทีในการปรับตัวคือ ค่อยๆลดชีพจรลงจนเป็นปกติ
- การยืดกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย (stretching)เพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกายและช่วยลดอาการตึงหรือเกร็งของกล้ามเนื้อและจะเป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)